Art and Neighboring Project

สำรวจตัวตนและการก้าวออกจากเซฟโซนของ ‘สุทธิภา คำแย้ม’ ในนิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipa


Art and Neighboring Project จัดทำโดย ฝ่ายสื่อสารประชาสัมพันธ์ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
นักเขียน: กิตตินันท์ วัฒนธิติกุล


1.

      พื้นที่ความทรงจำของคุณคืออะไร?

      อาจหมายถึงความสุขในวัยเยาว์ ความผูกพันต่อคนรักและครอบครัว ความรู้สึกดีๆ ที่อยากปิดผนึกบันทึกไว้ในส่วนลึกด้วยความหวงแหน อะไรก็ตามแต่ล้วนไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะนิยามความทรงจำของแต่ละคนนั้นเป็นเรื่องของปัจเจก 

      แต่สำหรับ ‘เตย-สุทธิภา คำแย้ม’ ศิลปินและนักวาดภาพประกอบ ที่มองว่าพื้นที่ความทรงจำคือ ‘สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์’ และเป็น ‘แรงขับเคลื่อนในการรังสรรค์ผลงาน’ ที่พาเธอนำไปสู่การเป็น master ในสายอาชีพที่กำลังเดินอยู่

      การได้ทำงานร่วมกับศิลปินระดับโลกอย่าง cooper & gorfer, รางวัลระดับโลกที่เคยคว้าอย่าง Designer of the Year 2021 สาขา Illustration Design หรือแม้แต่การดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้แก่แบรนด์ดัง เช่น Jim Thompson, Taylors of Harrogate, L’Occitane,  Nespresso, The Ritz-Carlton ฯลฯ เหล่านี้คือเครื่องหมายการันตีในความสามารถและทำให้สุทธิภาเป็นที่รู้จัก ด้วยลายเส้นและเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ่อยครั้งที่เธอหยิบเรื่องรอบตัวและสิ่งที่พบเห็นมานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ 

      จึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่นักที่ผลงานของเธอจะดูมีชีวิตชีวา ราวกับนำสิ่งที่เธอเห็นมาฉายให้เราดูตรงหน้า

      เร็วๆ นี้ เธอกำลังจะกลายเป็นศิลปินคนที่ 3 ที่ได้ร่วมงานกับหอศิลปกรุงเทพฯ ในโครงการ Dialogue with the Master นำเสนอนิทรรศการที่ชื่อว่า Dialogue through the sanctuary of Suthipa ซึ่งเธอบอกว่า เป็นโปรเจกต์ที่ใฝ่ฝันและท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ดังนั้นคอลัมน์ Art and Neighboring เลยถือโอกาสชวนเธอมาพูดคุยถึงเบื้องหลังนิทรรศการดังกล่าว พร้อมสำรวจวิธีคิดและตัวตนของเธอในแบบที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน 

2.

      ก่อน Dialogue through the sanctuary of Suthipa จะมาถึง ขอย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น สองครั้งแรกของโปรเจกต์ Dialogue with the Master ที่ได้ชวนศิลปินอย่างโตมร ศุขปรีชา (Dialogue with the Master) และทายาททั้ง 3 ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ได้แก่ วนะ วสุ และวจนา วรรลยางกูร (Dialogue with the Father) เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ส่วนตัวโดยมีผู้ชมเป็นดังผู้คอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ

      กล่าวคือนิยามของโครงการ Dialogue with the Master คือการเชื่อมโยงศิลปินที่มีกระบวนการสร้างผลงานต่างรูปแบบได้มาร่วมกันสร้างบทสนทนาซึ่งกันและกัน เพื่อสะท้อน นำเสนอวิธีคิด และสร้างเป็นผลงานชิ้นใหม่ขึ้นในแต่ละครั้งของโครงการ ไม่ว่าจะงานเขียน ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี และบทกวี เหล่านี้สามารถหยิบนำมาใช้ผสมผสานได้อย่างไร้ขีดจำกัด 

      อย่างครั้งนี้ ที่ได้หยิบยกนิยามคำว่า ‘sanctuary’ หรือ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ มาเป็นตัวดำเนินเรื่อง ซึ่งก็คือความทรงจำและประสบการณ์ต่างๆ ที่สุทธิภาได้เคยพาลพบ รวมไปถึงเทคนิคลายเส้นเฉพาะตัวของเธอมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว โดยใช้เวลาร่วมพัฒนาไปพร้อมๆ กับหอศิลปกรุงเทพฯ ถึง 1 ปีเต็ม

      “เราเคยเห็น Dialogue with the Master ครั้งก่อน เรารู้สึกเต้นตื่นไปกับวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ตายตัว ความพิเศษของโปรเจ็กต์นี้ไม่ใช่แค่ชื่นชมกับมันแล้วจบ แต่เป็นการส่งต่อเรื่องราวหรือสะท้อนมุมมองของสิ่งนั้นกลับไปยังคนดู

      “ซึ่ง Dialogue with the Master ในแบบของเราอยากให้คนที่เข้ามาดูได้เจอกับความสงบ ได้หยุดพัก มีเวลาสำรวจจิตใจตนเอง” สุทธิภาเกริ่นนำถึงแนวคิดโปรเจ็กต์ของเธอให้เราฟัง

3.

      ทั้งนี้ ภายในนิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipa ถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน โดยโซนที่ 1 เป็นการนำผลงานที่ผ่านมาของสุทธิภา ซึ่งแต่ละภาพเป็นการหยิบนำธรรมชาติ ทิวทัศน์ สัตว์ป่า มานำเสนอในสไตล์ realism หรือภาพเสมือนจริง ด้วยดินสอ ผสมผสานเข้ากับจินตนาการในแบบของเธอ

      ส่วนโซนที่ 2 คือผลงานที่สุทธิภารังสรรค์ใหม่ขึ้นมาทั้งหมดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ตามความตั้งใจของเธอที่อยากนำเสนอโซนนี้ในฐานะ sanctuary ไม่ว่าจะวิธีการคิด การนำเสนอ มุมมองของเธอ ร่วมกับบทสนทนาผ่าน video documentary และดนตรีที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์พิเศษนอกเหนือไปจากพู่กันหรือดินสอ สำหรับเป็นเครื่องมือจรดน้ำหมึกเพื่อให้ผิวสัมผัสและลักษณะของลายเส้นมีความลึกล้ำหลากหลาย

      ทั้งนี้ สุทธิภาบอกกับเราว่า ความทรงจำถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่แต่ละคนมีวิธีการ ‘จำ’ ต่างกันไป แต่สำหรับเธอคือแรงขับเคลื่อนชั้นดีในการทำงาน 

      “ความทรงจำมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หรือสถานการณ์อะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ละคนมีวิธีการบันทึกความทรงจำไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือทุกคนเลือกที่จะจำสิ่งที่สำคัญ เราเลยคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ

      “แรงบันดาลใจในการทำงานของเราอย่างหนึ่งคือการได้ออกไปท่องเที่ยว สิ่งนี้ได้ทลายกรอบความคิด ทลายสิ่งที่เราคุ้นชินมาตลอด และทำให้เราเห็นค่าในสิ่งต่างๆ มากขึ้น เป็นเหมือนการทลายกรอบ ทลายความคุ้นชินที่ว่าสิ่งนั้นต้องเป็นแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วอาจไม่ใช่เสมอไป อย่างตอนได้ไปที่เนปาล เราเจออากาศติดลบ 30 องศาฯ เป็นสภาพอากาศสุดขั้วที่ทำให้เรารู้เลยว่า ความจริงแล้วเราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย”

      อย่างที่เล่าในข้างต้นว่านอกเหนือจากวิธีคิดนั้น อุปกรณ์ในการสร้างชิ้นงานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นผลพวงจากการออกเดินทางสั่งสมความทรงจำ ในโซนที่ 2 มีผลงานไฮไลต์ที่เกิดจากการนำ ‘กระดาษสา’ มาใช้ดังผืนผ้าใบ และใช้ ‘ไม้ไผ่’ มาใช้วาดลายเส้นและถมเงาแทนดินสอ 

      “เราใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควรว่าหน้าตา sanctuary ในแบบของเราควรเป็นแบบไหน ตอนนั้นเราชอบอยู่กับต้นไม้ ก็เลยใช้กระดาษสามาจัดภาพต่อกันเป็น landscape เป็นภาพผืนป่ากว้าง ที่เกิดจากการใช้ไม้ไผ่วาด ถ้ามองภาพรวมจะเห็นว่าทุกอย่างในภาพทับซ้อนกันและกัน บางคนอาจจะมอง landscape นี้เป็นต้นไม้ เป็นเปลือกไม้ หรือเป็นก้อนหินก็ได้ ขณะเดียวกันการใช้อุปกรณ์แบบนี้เหมือนทำให้เราได้กลับไปใกล้ชิดกับธรรมชาติ”

4.

      เพื่อให้ sanctuary ของสุทธิภาถูกถ่ายถอดมาสมบูรณ์ที่สุด จึงมีการเชิญศิลปินมากความสามารถท่านอื่นๆ มาร่วมสร้างบทสนทนาในส่วนต่างๆ ได้แก่ 

      แจ็ค-อภิสิทธิ์ วงศ์โชติ คอนดัคเตอร์ชื่อดังที่เคยร่วมงาน orchestration และอำนวยเพลงร่วมกับศิลปินมากมายบนเวทีออร์เคสตราระดับเมเจอร์ และอาจารย์พิเศษคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มาเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีและออกแบบเสียงที่ใช้ในนิทรรศการ

      เอ๋ย-วินัย สัตตะรุจาวงษ์ ผู้กำกับภาพมือฉมัง ที่รับหน้าที่ถ่ายทอดบทสัมภาษณ์เรื่องราวของสุทธิภาในรูปแบบสารคดี

      สุดท้ายคือ ฉิง-พรพรรณ อารยะวีรสิทธิ์ ที่รับบทบาท Scenography Designer หรือผู้ดีไซน์ฉากทัศน์ที่อยู่ภายใน sanctuary ของสุทธิภา 

      “เรารู้สึกว่าการทำงานกับศิลปินแต่ละท่านมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ทุกคนเป็นเหมือนส่วนต่อขยายตัวเรา และช่วยสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ออกมา อย่างการทำงานกับพี่ฉิง พี่ฉิงเหมือนเข้าใจสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรารู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ถ่ายทอดออกมาเป็นฉากได้อย่างนุ่มลึก

      “ส่วนการทำงานกับพี่แจ็คเราอาจมีเวลาเจอหน้าน้อยกันก็จริง แต่พี่แจ็คกลับสามารถออกแบบเสียงแล้วแปลงมันออกมาเหมือนเป็นภาพภาพหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ดราฟท์แรกที่เราได้ฟังจากพี่แจ็คเราตื่นเต้นมากๆ เป็นเสียงที่เราไม่เคยฟังมาก่อน เป็นเสียงที่มีความลุ่มลึก สัมพันธ์ไปกับโทนของงาน

      “สุดท้ายคือการทำงานกับพี่เอ๋ย การทำงานของเรากับพี่เอ๋ยเหมือนเป็นการคุยกันไปเรื่อยๆ ขุดคุ้ยเรื่องราว ตัวตนของเรา ซึ่งเรายอมรับว่าต้องใช้เวลาสักระยะในการเปิดใจเรามุมมองตรงนั้นออกไป โดยสารคดีที่ถูกถ่ายทอดยังคงเล่าในสไตล์พี่เอ๋ย 

      “เราว่าพื้นที่ sanctuary เป็นเหมือนพื้นที่ทับซ้อน ที่เติมความเป็นเรา ความเป็นศิลปินทั้ง 3 ท่านมาประกอบรวมกันอย่างละนิดละหน่อย ถึงระหว่างทางจะมีวิธีทำงานจะแตกต่างกันก็ตาม แต่สุดท้ายก็สามารถถ่ายทอดออกมาโดยที่ยังโอบอุ้มคนดูได้อยู่” สุทธิภาเล่าภาพรวมถึงการทำงานร่วมกันกับศิลปินทั้ง 3 ท่าน ในการสร้างบทสนทนาที่พิเศษ และร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกัน

5.

         “Dialogue with the Master เป็นเหมือนการก้าวออกจากเซฟโซนของเราเลยก็ว่าได้” 

         สุทธิภาบอกกับเราด้วยความสัตย์จริง ถึงความตื่นเต้นที่มีต่องานนิทรรศการครั้งนี้ ด้วยความที่งานมีสเกลขนาดใหญ่ และต้องทำงานร่วมกับศิลปินอีก 3 ท่าน นี่จึงเป็นความท้าทายใหม่ ที่เปรียบได้กับการก้าวออกจากเซฟโซนเดิมๆ 

         ซึ่งจะว่าไปการก้าวออกจากเซฟโซนดูเป็นเหมือน ‘เพื่อนคู่คิด’ ที่อยู่เคียงข้างมาตลอด เหมือนครั้งแรกที่เธอตัดสินใจศึกษาเรียนต่อคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การตัดสินใจออกจากประเทศบ้านเกิดไปยังสวีเดน เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญาโท หลักสูตร Individual Specialization หรือการรับโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอดก็ตาม 

      “Dialogue with the Master เป็นโปรเจกต์ที่ทำให้เราได้กลับไปทบทวนความทรงจำตัวเอง และทำให้เราได้รู้จักกับตัวเองมากขึ้น” สุทธิภาทิ้งท้ายกับเราด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 

      สำหรับนิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipa จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-22 มิถุนายน 2568 ห้องสตูดิโอ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 

      แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่งานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของสุทธิภา แต่เปรียบเสมือน ‘จิ๊กซอว์’ ต่อเติมเรื่องราวของโครงการ Dialogue with the Master ที่อยากชวนทุกคนมาร่วมสนทนากับเพื่อนบ้านของเราคนนี้สักครั้ง

Image Gallery